พนักงานทำความสะอาดมีไข้สูงและเป็นลมหมดสติ

สนามบินสุวรรณภูมิพบพนักงานทำความสะอาดมีไข้สูงและเป็นลมหมดสติ

   มีรายงานข่าวเข้ามาว่าเมื่อวันที่ 28 เดือนมีนาคมปีพศ 2563 มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยพบว่ามีหญิงสาวที่เป็นแม่บ้านคนหนึ่งซึ่งทำความสะอาดอยู่ดีๆก็เป็นลมล้มลงไปและเมื่อมีการนำไปให้แพทย์ประจำสนามบินสุวรรณภูมิตรวจสอบพบว่าหญิงแม่บ้านคนดังกล่าวมีอาการไข้ขึ้นสูงรวมถึงหายใจลำบาก

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สนามบินจึงได้ส่งตัวหญิงสาวแม่บ้านคนดังกล่าวไปที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์นราดูรเพื่อทำการตรวจสอบหาเชื้อว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือไม่แต่เบื้องต้นจากการที่ตรวจสอบประวัติของแม่บ้านคนดังกล่าวพบว่าไม่เคยเดินทางไปประเทศที่มีกลุ่มเสี่ยงมาก่อนแต่เพื่อความสบายใจของพนักงานคนอื่นๆในสนามบินสุวรรณภูมิรวมถึงลูกค้าที่ไปใช้บริการที่สนามบินดังนั้นจึงจำเป็นต้องพาแม่บ้านคนดังกล่าวไปทำการตรวจสอบหาเชื้อและจะได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้กับทุกๆคนได้ทราบ

ว่าสรุปแล้วแม่บ้านคนดังกล่าวมีการติดเชื้อหรือไม่แต่ในที่นี้ทางเจ้าหน้าที่สนามบินก็ได้ออกมาประกาศว่าไม่อยากจะให้ประชาชนที่ทราบข่าวมีความรู้สึกตื่นตระหนกกับข่าวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เพราะว่าอันที่จริงแล้วหญิงแม่บ้านคนนี้ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้เลยดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากที่แม่บ้านคนดังกล่าวจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งอาการไข้ขึ้นสูง 38.5 องศาเซลเซียสนั้นอาจจะเกิดมาจากเป็นไข้หวัดธรรมดาก็ได้ดังนั้นอย่าให้รอฟังผลจากทางแพทย์ประกาศออกมาก่อน

      จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้หลายคนเกิดความหวาดกลัวว่าเชื้อไวรัสกำลังแพร่ระบาดไปในทุกพื้นที่เพลงแม้ว่าในพื้นที่ดังกล่าวจะมีการเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องของการฆ่าเชื้ออย่างเช่นที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าจะมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคทุกๆ 3 ชั่วโมงแต่ถ้าเกิดว่าผลออกมาว่าหญิงแม่บ้านคนดังกล่าวมีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าขึ้นมานั่นก็แสดงว่าสนามบินสุวรรณภูมิไม่ใช่สถานที่ที่จะปลอดภัย

จากเชื้อโรคอีกต่อไปเพราะถึงแม้ว่าจะมีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในภายในสนามบินได้แต่ก็ยังพบว่าแม่บ้านอาจจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้เช่นกันซึ่งตอนนี้คงต้องรอผลการตรวจจากทางแพทย์โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์นราดูรออกมาว่าถ้าหากว่าผลออกมาแล้วแม่บ้านติดเชื้อไวรัสโคโรน่าต้องมาดูกันว่าทางผู้บริหารของสนามบินสุวรรณภูมิจะออกมาแก้ไขปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไรเพื่อเรียกร้องขวัญและกำลังใจและความเชื่อมั่นของประชาชนเพื่อที่จะกลับมาใช้ กันต่อไป 

ยิงคนตายเพราะแค้นที่จีบลูกสาวเขาไม่ติด

 วันนี้มีข่าวยิงกันตาย ซึ่งข่าวที่มาในตอนแรกเลยคือการทวงหนี้และมีการยิงกันที่หน้าร้านขายของชำ แถวซอยอุดมเดช 1 จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อมีคนแจ้งความและทันทีที่เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงและเข้าตรวจสอบพื้นที่ ก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งถูกยิงชื่อว่าคุณ ไชยา เปลี่ยนทรง

ซึ่งตามข้อมุลที่ชาวบ้านให้ข้อมูลมาคือ นายไชยา ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านขายของชำ ซึ่งในตอนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงร้านขายของชำ โดยที่นั่งใกล้กับภรรยาของคุณไชยาเลย ตอนแรกทีคุณไชยาขี่มอเตอร์ไซด์มาครั้งแรกคุณ ไชยาเห็นภรรยาตัวเองนั่งอยู่ที่ร้านก็เรียกทักทายเมียของตัวเองที่กำลังนั่งกินเหล้าอยู่แล้วหลังจากนั้นคนร้ายก็ยิงคุณไชยาจนรถล้มลงไป

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนแรกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าเกิดจาการติดตามทวงหนี้และกำลังติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษ และวันนี้นักข่าวเองก็ได้ลงพื้นที่และได้เข้าไปสอบถามกับแม่ค้าในร้านที่เกิดเหตุ ซึ่งแม่ค้าเล่าให้ฟังว่าวันเกิดเหตุภรรยาของผู้ตายมานั่งกินหล้าที่ร้านซึ่งทางแม่ค้าเองก็นั่งอยู่กับภรรยาของผู้ตาย สักพักคนตายกับขี่รถมอเตอร์ไซด์ผ่านไปแล้วรอบแรก

ซึ่งในครั้งแรกคนตายยังตะโกนทักเมียของตัวเองอยู่ แล้วสักพักแม่ค้าก็ลุกไปขายของ วิ่งหลังจากลุกแล้วคนร้ายจึงได้มานั่งแทนที่โดยนั่งข้างเมียของคนตาย พอคนตายขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาอีกครั้งก็ทักภรรยาอีกรอบซึ่งรอบนี้พอทักเสร็จคนร้ายยิงนายไชยาทันทีแล้วรถมอเตอร์ไซด์ของนายไชยาก็ล้มลง ซึ่งทางแม่ค้าเองไม่ได้เห็นตอนถูกยิงแต่ได้ยินเสียงยิงซึ่งคล้ายกับเสียงลูกโป่งแตก

หลังจากที่เห็นนายไชยาล้มลงภรรยาก็วิ่งไปประคองและตะโกนให้คนช่วยสามีตนเอง หลังจากคุยกับคนแถวนั้นจึงพบว่ามือปืนคือ นายทองดี เป็นทหารเรือที่กระเษียรเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งตรวจสอบแล้วลูกสาวคนตายให้ข้อมูลว่าตนเองรู้จักกับนายทองดี เพราะนายทองดีมาชอบตนเอง แต่ตนไม่ชอบและพ่อก็ห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับนายทองดี ซึ่งนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้นายทองดีมายิงพ่อ

เมื่อไปสอบถามญาติของนายทองดี ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นายทองดีเป็นคนนิสัยไม่ดี เป็นคนนิสัยนักเลง ญาติญาติไม่มีใครสนใจและเพิ่งรู้เรื่องจากข่าวว่านายทองดีไปก่อเหตุยิงคนตาย โดยส่วนตัวแล้วนายทองดีชอบเอาปืนออกไปยิงขู่คน ซึ่งหากนายทองดีผิดจริงก็ให้ตำรวจจัดการไป

ผีน้อยกลับมาถึงไทยไม่ยอมกักตัว

ผีน้อยกลับมาถึงไทยไม่ยอมกักตัว เที่ยวรอบเมืองกระบี่ตอนนี้เป็นไข้สูงจนต้องพาส่งตัวเข้าโรงพยาบาล

              คนงานไทยที่หนีไปทำงานที่ประเทศเกาหลีไต้และได้ร้องขอกลับมาประเทศไทย ช่วงนี้บางคนเมื่อเข้ามาถึงประเทศไทยแล้วไม่ยอมกักตัวเองอยู่แต่ในบ้านเป็นระยะเวลา 14 วันอย่างที่รัฐบาลประกาศให้ทำ แต่กลับมักจะพบเห็นกลุ่มคนเหล่านี้เดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างต่าง ไม่ว่าจะเป็นตามห้างสรรพสินค้า ตามร้านอาหาร และแม้แต่ตามสถานทีท่องเที่ยว และวันนี้ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีหนึ่งราย ที่ตอนนี้มีไข้ขึ้นสูงมากถึง 39 องศาเซลเซียส จนหวั่นกันว่าจะเป็นโรคไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ทำให้ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

        มีรายงานมาจากทางโรงพยาบาลกระบี่ว่า ในตอนนี้มีคนส่งผู้ป่วยคนหนึ่งเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กระบี ด้วยอาการเป็นไข้ และมีไข้ขึ้นสูงถึง 39 องศาเซียลเซียส และเมื่อมีการซักประวัติแล้วพบว่าคนไข้คนดังกล่าวคือกลุ่มคนไทยที่แอบหนีไปทำงานที่ประเทศเกาหลีไต้และได้เดินทางกลับมาประเทศไทยในช่วงนี้ หรือที่เราเรียกว่าพวกผีน้อยนั่นเอง ซึ่งจากประวัติที่ทราบมาคือผีน้อยคนดังกล่าว เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็ไม่ยอมกักตนเองอยู่ในบ้าน

แต่เธอกลับเดินทางไปท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ จังหวัดกระบี่ โดยในตอนที่พบว่าเธอไม่สบายนั้น เธอได้นอนพักอยู่ที่โรงแรม บริเวณอ่าวนาง  โดยจากประวัติการเดินทางต่างประเทศของเธอนั้น เธอเพิ่งกลับจากประเทศเกาหลีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563 นี่เอง

แล้วเธอก็เดินทางมาท่องเที่ยวเลย โดยหญิงคนดังกล่าวอายุ 50 ปี และได้พบว่ามีไข้สูงเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลกระบี่ได้ทราบเรื่องก็ได้แยกห้องการรักษาของเธอออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยตอนนี้เธออยู่ในห้องที่เอาไว้คัดแยกคนป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะมีเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งหากว่าตรวจหาเชื้อแล้วไม่พบว่าเธอติดเชื้อไวรัสก็จะให้เธอกลับที่พักได้ แต่หากว่าพบว่ามีเชื้อก็จะส่งเธอรักษาตามขั้นตอนการรักษาคนที่ติดเชื้อไวรัสต่อไป ซึ่งจะต้องอยู่ในห้องที่มีความดันเป็นลบ และในตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้นำสารคัดหลั่งขอผู้ป่วยสงไปหาเชื้อไวรสโควิด-19  ที่โรงพยาบาลที่ภูเก็ตแล้ว

            สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกำลังสร้างความหวาดกลัวให้คนในสังคม เพราะหากว่าเธอป่วยติดเชื้อไวรัสจริง เธอได้แพร่เชื้อไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ซึ่งผ่านมาได้ 5 วันแรก มีใครที่ได้รับเชื้อโรคจากเธอไปบ้าง และหากเธอป่วยจริงก็จะต้องมีการหาตัวคนที่ใกล้ชิดกับเธอมาตรวจให้เชื้อว่าติดเชื้อไวรัสจากเธอหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งทียุ่งยากมาก

ข่าวนักดับเพลิงต้องมาดับไฟที่ไหม้บ้านตัวเอง สุดเข็มแข็ง

    ก่อนหน้านี้ในสังคมโซเชียวได้มีการเผยแพร่ภาพผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดดับเพลงกำลังนั่งปลอดใจเด็กชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดนักเรียน ซึ่งมีการบรรยายภาพเอาไว้ว่าชายคนดังกล่าวเป็นนักดับเพลิงที่มีหน้าที่ไปดับไฟเวลาที่มีไฟไหม้บ้านคนอื่นแต่วันนี้กลับต้องมาดับไฟที่กำลังไหม้บ้านของตัวเอง และยังต้องมาคอยปลอบใจลูกชายที่กลับมาถึงบ้านแล้ว

เห็นบ้านไฟไหม้โดยทั้งสองคนหลังจากดับไฟได้แล้วก็พยายามเดินหาชุดฟุตบอลและลูกฟุตบอลที่ลูกชายของนักดับเพลิงรักหนักหนา ซึ่งเมื่อมีภาพเผยแพร่ออกมาทุกคนที่ได้อ่านและเห็นภาพต่างก็รู้สึกสงสารชายดังกล่าวและลูกชายกันมาก มีหลายคนซื้อชุดฟุตบอลและลูกฟุตบอลให้กับเด็กชาย รวมถึงรวมเงินกันเพื่อบริจาคช่วยเหลือชายคนดังกล่าวแล้ว

       เป็นข่าวที่ให้ความรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะคงไม่มีใครที่อยากจะต้องมาเห็นบ้านของตัวเองไฟไหม้ไปต่อหน้าต่อตา ยิ่งถ้าทำงานเกี่ยวกับการดับเพลิงทั้งชีวิตเคยแต่ไปช่วยดับไฟที่ไหม้บ้านของคนอื่นมาวันนี้ ต้องมาดับไฟไหม้บ้านตัวเองถึงแม้แขนขาจะอ่อนแรง จะหมดกำลังใจยังไงในขณะที่เห็นไฟไหม้บ้านของตัวเอง แต่ก็ต้องเข็มแข็ง

ต้องพยายามดับไฟที่กำลังไหม้ให้ถึงที่สุด ซึ่งเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวนี้ออกไปและเมื่อมีหลายคนที่ได้เข้ามาอ่านข่าว ต่างก็รู้สึกเหมือนกันก็คือสงสารชายคนนี้เป็นอย่างมาก เขาทำงานช่วยเหลือไม่ให้บ้านคนอื่นโดนไฟไหม้มาตลอด ดังนั้น จึงมีหลายคนรวบรวมน้ำใจเพื่อช่วยเหลือชายคนดังกล่าว แต่การที่เราช่วยเหลือเขามันก็คงไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เขาสูญเสียไปได้แต่โชคก็ยังดีที่เหตุการณ์ไฟไหม้บ้านครั้งนี้เขาไม่ได้สูญเสียใครไปนอกจากทรัพย์สินนอกกายเท่านั้น

         นี่เป็นอุทาหรณ์อีกหนึ่งกรณีที่เราควรนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินการเกี่ยวกับชีวิตของเรา  อย่าประมาทเด็ดขาดควรหมั่นตรวจตราฟืนไฟที่บ้านให้เรียบร้อย อย่าเสียบปลั๊กคาทิ้งไว้ และที่สำคัญอย่างจุดธูปหรือเทียนทิ้งไว้ควรหมั่นมาตรวจสอบจนกว่าไฟจะดับหมดเรียบร้อยเพราะความประมาทจะนำเป็นสู่การสูญเสียเสมอ  ยิ่งช่วงนี้สภาพอากาศแห้งแล้ง หากมีการจุดไฟจะง่ายต่อการไหม้เร็วดังนั้น ควรระวังให้ดีอย่าประมาท

       และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชายดับเพลิงคนนั้น จะยังคงมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป แม้สูญเสียบ้านแต่ก็ยังขอให้มีกำลังใจที่จะทำงานต่อเพื่อมาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยใหม่อีกครั้ง พวกเราชาวสังคมโซเชียวจะขอร่วมเป็นกำลังใจให้