หนีคดีมา 4 ปีถึงเวลาที่เมียน้อยจะต้องชดใช้กรรมเสียที 

               เมื่อวันที่ 14 เดือนเมษายนปีพศ 2563 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของจังหวัดชลบุรีได้มีการแถลงการณ์เกี่ยวกับการจับกุมนางสาวอัญชลีซึ่งเป็นผู้ต้องหาจ้างวานฆ่าเมียหลวงตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วโดยในครั้งนั้นนางสาวอัญชลีได้มีการจ้างวานมือปืนไปทำการซุ่มดักยิงเมียหลวงซึ่งเหตุเกิดตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมปีพศ 2551

ซึ่งในครั้งนั้นผู้ที่เสียชีวิตคือนางสาวนิรมลโดยเธอถูกคนร้ายกระหน่ำยิงด้วยอาวุธปืนจุด 38 ซึ่งโดยปกติแล้วเธอจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชรแต่ในวันดังกล่าวเธอได้เดินทางมาหาสามีของเธอที่จังหวัดชลบุรีหลังจากนั้นเธอก็ถูกคนร้ายตามประกบยิงจนถึงแก่ความตายซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับตัวมือปืนและคนที่ประสานงานกับมือปืน

โดยมีการว่าจ้างกันด้วยจำนวนเงินเป็นแสนบาทแต่เบื้องต้นผู้ว่าจ้างต้องจ่ายเงินมาประมาณ 60,000 บาทซึ่งจากการที่มือปืนถูกจับกุมในครั้งนั้นทำให้มีการซัดทอดถึงผู้ว่าจ้างฆ่าโดยในครั้งนั้นนางสาวอัญชลีได้ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ว่าจ้างมือปืนไปดำเนินการฆ่า 

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเข้าจับกุมตัวและนางสาวอัญชลีก็ได้มีการประกันตัวเองออกไปจนเมื่อศาลมีการสั่งให้นางสาวอัญชลีมีการมาฟังคำสั่งของศาลอีกครั้งหนึ่งปรากฏว่าเธอได้ทำการหลบหนีไม่มาตามคำสั่งของสารหลังจากนั้นศาลจึงได้ออกอนุมัติหมายจับเธอซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามติดตามหาตัวเธอมานานหลายปีจนในที่สุดก็ได้ทราบว่านางสาวอัญชลีได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นนางสาวอรพรรณ

โดยสามารถจับกุมเธอได้ที่จังหวัดชลบุรีซึ่งเธอได้หรอกอาศัยซ่อนตัวอยู่ในหอพักแห่งหนึ่งแถวๆย่านถนนแหลมฉบังซึ่งคนที่อยู่อาศัยในหอพักเดียวกันกับเธอนั้นต่างก็ไม่ทราบมาก่อนว่าเธอเองเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีฆ่าคนตายโดยทุกคนมองว่านางสาวอัญชลีมาอยู่ที่หอพักนี้นานแล้ว

แต่ก็ไม่เคยมีลักษณะนิสัยที่จะแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของเธอเบื้องต้นนางสาวอัญชลีให้การรับ ว่าเธอเป็นผู้ร่วมมือว่าจ้างให้มือปืนมาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองเนื่องจากเธอรู้สึกไม่พอใจที่เมียหลวงมักจะเข้ามาต่อว่าด่าทอเธออยู่เป็นประจำอีกทั้งเธอยังบอกด้วยว่าที่เธอตัดสินใจลงมือตั้งมือปืนมาจัดการเมียหลวงนั้น

เพราะเมียหลวงมักจะพูดจาข่มขู่เธออยู่เป็นประจำทำให้เธอเกิดความทนไม่ไหวจึงได้มีการลงมือก่อเหตุดังกล่าวสำหรับมือปืนนั้นได้อาศัยช่วงที่ผู้ตายเดินทางมาหาสามีแล้วทำทีเข้ามาขอสมัครงานหลังจากที่ผู้ตายเผลอมือปืนกระหน่ำยิงกูตายทันทีหลังจากนั้นก็หลบหนีไปแต่ตำรวจก็สามารถตามจับกุมตัวได้ในที่สุดซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลานานถึง 4 ปีถึงจะสามารถตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ครบทั้งหมด

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  สมัครเอเย่นต์ ufabet

ด่านตรวจโควิดทำรถติดยาวที่พิษณุโลก ชาวบ้านโวยควรมีการปรับปรุงการคัดกรองด่วน

            ในปัจจุบันไม่ว่าจะเดินทางไปที่จังหวัดไหนเราก็มักจะเห็นด่านตรวจคัดกรองหาคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อที่จะได้ควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในแต่ละจุดที่มีการตั้งด่านคัดกรองนั้นก็จะมีการตั้งเต็นท์ให้เจ้าหน้าที่คอยปฏิบัติงาน

ซึ่งในแต่ละเดือนก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครคอยปฏิบัติงานอยู่เป็นจำนวนหลายคนแต่ที่มีเหตุทำให้เกิดข่าวโด่งดังขึ้นมาในช่วงนี้นั่นก็คือในการตั้งด่านคัดกรองเพื่อหาคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นเรามักจะพบว่าตรงจุดที่มีการตั้งด่านมักจะทำให้รถติดอยู่เป็นประจำซึ่งการที่รถติดบริเวณที่ตั้งด่านนั้นไม่ใช่จะเป็นที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น

แต่เกิดกับทุกที่แต่ที่มีข่าวโด่งดังมากที่สุดในตอนนี้ก็คือที่จังหวัดพิษณุโลก เพราะการตั้งด่านทำให้รถติดนานหลายชั่วโมงเกิดมีชาวบ้านร้องเรียนการปฏิบัติงานของทางเจ้าหน้าที่ที่มีการตั้งด่านแล้วส่งผลให้รถติดโดยชาวบ้านไม่มีการลงมาเสนอแนะการทำงานว่าควรจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้างซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของทางด่านตรวจคัดกรองได้มีการโพสต์คลิปวีดีโอ

ในขณะที่มีผู้ชายคนหนึ่งได้ลงมาโวยวายกับทางเจ้าหน้าที่ซึ่งตามปกติแล้วหากมีคลิปชาวบ้านออกมาโวยวายเจ้าหน้าที่ผู้คนต่างก็จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคนที่โวยวายมากนักแต่จากคลิปวีดีโอดังกล่าวนี้ทำให้หลายคนออกมาเห็นด้วยกับชายคนที่มาโวยวายต้องการตรวจคัดกรองของจังหวัดพิษณุโลกเพราะที่นี่มีปัญหารถติดหลายกิโลเนื่องจากว่ามีการปล่อยให้รถวิ่งเข้าช่องทางเดียว

ในการตรวจคัดกรองซึ่งใช้หนูคนดังกล่าวก็ได้ลงมาเสนอแนะว่าควรจะมีการเปิดประมาณ 4 ช่องทางและควรทำบัตรให้รถแต่ละคันว่าเดินทางเข้าตัวเมืองพิษณุโลกเนื่องจากสาเหตุอะไรเป็นคนพิษณุโลกหรือเป็นคนต่างจังหวัดซึ่งเมื่อคืนนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทางในอำเภอของจังหวัดพิษณุโลกก็ได้ออกมารับฟังความคิดเห็นของชายคนดังกล่าวโดยเพิ่มช่องทางการคัดกรองออกเป็น 2 เลน

เพื่อให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นและเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหูผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกก็ได้เห็นด้วยกับความคิดของชายคนดังกล่าว บัตรสีให้กับคนในพื้นที่และคนนอกพื้นที่เพื่อที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตรงไหนกรองจะได้ผลเร็วยิ่งขึ้นรถจะได้ไม่ติดและทางเจ้าหน้าที่เองก็ได้ทำงานโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก

          จากข่าวที่ออกมาจะเห็นด้วยว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐของจังหวัดพิษณุโลกเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อมีคนมาเสนอแนะความคิดเห็นซึ่งเมื่อทางเจ้าหน้าที่มองแล้วว่าเป็นประโยชน์กับทางจังหวัดก็มีการนำมาปรับให้เข้ากับการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งถือได้ว่าทั้งในอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ที่ฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริงเธอไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีอยู่ในขณะนี้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  www.ufabet.com ลิ้งเข้าเว็บไซต์คะ

ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเร่งติดตามหาตัวผู้ที่แพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า

ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาเร่งติดตามหาตัวผู้ที่แพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าเพราะว่าปัจจุบันยังมีการติดเชื้อกันอย่างต่อเนื่อง

             สถานการณ์ของคนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าที่จังหวัดยะลายังคงมีการติดเชื้ออย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นทุกวันซึ่งในแต่ละวันก็จะมีผู้ติดเชื้อวันละ 2-3 คนส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นตอนนี้ที่จังหวัดยะลายังคงมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้นอยู่ที่สองคนเท่านั้นโดยที่จังหวัดยะลานี้ตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการสั่งให้มีการปิดพื้นที่เสี่ยงหลายเขตหมู่บ้านด้วยกัน

แต่ก็ยังพบปัญหาว่าถึงแม้จะมีการปิดพื้นที่เสี่ยงแล้วจำนวนผู้ติดเชื้อก็ยังมีเพิ่มมากขึ้นโดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดมีความต้องการที่จะให้จังหวัดยะลามีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเป็นศูนย์แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ซึ่งไม่มีข้อมูลว่าผู้ติดเชื้อนั้นไปติดเชื้อมาจากที่ไหน

และใครเป็นคนแพร่เชื้อดังนั้นตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจังหวัดยะลารวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดจึงได้มีการร่วมมือกันตั้งจุดคัดกรองปูพรมหาคนที่มีการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพื่อนำผู้ป่วยทั้งหมดเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าหากสามารถติดตามตัวผู้ที่มีอาการป่วยโดยมีเชื้อไวรัสโคโรน่าถูกส่งตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลครบทุกคนแล้ว

การแพร่ระบาดเชื้อน่าจะสามารถควบคุมได้ซึ่งในปัจจุบันนี้ที่จังหวัดยะลาเองก็มีการติดตั้งด่านของแต่ละหมู่บ้านมีใครจะผ่านเข้าออกหมู่บ้านซึ่งจะต้องมีการตรวจวัดไข้และทุกคนจะต้องมีการสวมใส่หน้ากากอนามัยโดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวด

และปัจจุบันที่จังหวัดยะลาเองก็ยังมีการกำหนดเคอร์ฟิวซึ่งทุกคนจะต้องอยู่ในบ้านช่วงเวลา 22:00 นจนถึง 4:00 น.ของทุกวัน โดยล่าสุดทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการจัดกิจกรรมขึ้นมาตรงบริเวณกว้าง ซึ่งจะมีการกางเต็นท์ให้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคุณหมอของโรงพยาบาลมาทำการสอบสวนชาวบ้านแต่ละคนว่ามีการเดินทางไปที่ไหนมาบ้างซึ่งจะต้องมีการซักประวัติของชาวบ้าน

ทุกคนเพื่อที่จะได้ดูว่ามีใครที่อยู่ในความเสี่ยงที่จำเป็นจะต้องกักตัวเองอยู่แต่ในบริเวณบ้านเป็นเวลา 14 วันบ้างและใครมีอาการไข้ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการติดเชื้อก็จะมีการส่งตัวไปตรวจหาเชื้อไวรัสเพื่อที่จะได้รักษาต่อไปซึ่งการทำเช่นนี้

หากมีการซักประวัติและตรวจหาเชื้อครบทุกคนทั้งจังหวัดคาดว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจังหวัดยะลาน่าจะดีขึ้นแน่นอน

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  www.ufabet.com ลิ้งเข้าเว็บไซต์คะ

นายแพทย์ทวีศิลป์ ออกมาวิจารณ์โรงพยาบาล

ประชาชนไม่พอใจหลังจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ ออกมาวิจารณ์โรงพยาบาลโล่งในช่วงโควิดดีใจที่คนไม่ค่อยไปโรงพยาบาลกัน

             กลายเป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์พูดคุยกันเป็นอย่างมากเกี่ยวกับคำพูดประโยคหนึ่งของนายแพทย์ทวีศิลป์ที่โดยปกติแล้วท่านจะออกมาพูดคุยเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าว่าในแต่ละวันนั้นมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ลดลงเท่าไหร่หรือมีผู้เสียชีวิตเท่าไหร่

ซึ่งท่านเป็นโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยในแต่ละวันเราจะต้องเห็นนายแพทย์ทวีศิลป์ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19และวิธีการป้องกันการติดเชื้อรวมถึงการดูแลตนเองซึ่งหลายคนชื่นชอบในเรื่องของการให้ข้อมูลของนายแพทย์ทวีศิลป์ผู้นี้กันเป็นอย่างมาก

แต่เกิดประเด็นดราม่ามากขึ้น เมื่อวันที่ 21 เดือนเมษายนปีพ.ศ 2553 ขณะที่นายแพทย์ทวีศิลป์กำลังให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19นั้นมีประโยคหนึ่งที่นายแพทย์ทวีศิลป์ได้ออกมาพูดทำนองว่าขณะนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมากที่โรงพยาบาลทั่วทุกจังหวัดประเทศไทย

มีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นนอนพักรักษาตัวน้อยเป็นอย่างมากซึ่งถือว่าการที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ก็มีข้อดีบ้างอยู่เหมือนกัน  เพราะไม่อย่างนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนก็จะมีผู้ป่วยมานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเต็มไปหมด

โดยมองว่าคนที่มารักษาตัวเห็นว่าตนเองมีสิทธิ์รักษา 30 บาทมีประกันสังคมจึงแค่เจ็บป่วยนิดๆหน่อยๆก็ต้องการมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลและประโยคนี้เองที่สร้างกระแสดราม่าให้กับชาวโซเชียลและผู้คนเป็นจำนวนมากต่างก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประโยคดังกล่าวซึ่งหลายคนมองว่า คำพูดของนายแพทย์วศินเป็นคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามคนจนและที่สำคัญทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหากไม่เจ็บป่วยจริงๆ

ไม่มีใครอยากที่จะไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็ทุกคนก็ต้องทำมาหากินและที่ช่วงนี้ผู้ป่วยที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมีน้อยนั้นเนื่องจากว่าเมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ได้รับการรักษาและทางโรงพยาบาลก็มีการจ่ายยาแล้วให้กลับไปกินที่บ้าน ซึ่งเมื่อคนได้ยินที่นายแพทย์ทวีสินพูดต่างก็รู้สึกว่านายแพทย์ทวีศิลป์นั้นไม่มีความเข้าอกเข้าใจในผู้ป่วยทั้งๆที่นายแพทย์ทวีศิลป์นั้นก็เป็นหมอ

            หากเราจะตีความหมายที่นายแพทย์ทวีศิลป์พูดนั้นอาจจะพูดสื่อถึงเรื่องที่ประชาชนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองมากขึ้นทำให้มีการเจ็บป่วยน้อยลงซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแต่ด้วยประโยคเหล่านี้ด้วยสถานการณ์แบบนี้นายแพทย์ทวีศิลป์เองไม่ควรที่จะนำมาพูดในช่วงเวลาแบบนี้เพราะอย่างที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดกันนั้นก็คือหากไม่เจ็บป่วยจริงๆ

ไม่มีใครต้องการที่จะเข้าโรงพยาบาลอย่างแน่นอนเพราะทุกคนก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำถึงแม้การรักษาจะต้องเสียเงินน้อยนิดเท่านั้นแต่คนส่วนใหญ่ถ้าไม่เจ็บปวดเจียนตายจริงๆก็ไม่มีใครอยากเข้าไปนอนที่โรงพยาบาลดังนั้นนายแพทย์ทวีศิลป์ควรจะมีการคิดก่อนที่จะมีการพูดประโยคเหล่านี้ออกมาเพื่อไม่ให้สร้างความขัดแย้งทางด้านจิตใจของประชาชน

 

สนับนุนโดย  gclub ฝากขั้นต่ำ 20